คำว่า Fire Rating มาบ้างแล้วเวลาที่ต้องเลือกซื้อเครื่องดับเพลิง เช่น 2A-2B, 4A-10B, 6A-20B, 10A-40B เป็นต้น
จริงๆแล้วค่าเหล่านี้สำคัญอย่างไร?
Fire Rating สำคัญมากสำหรับเครื่องดับเพลิง เนื่องจากเป็นตัวบ่งชี้ประสิทธิภาพในการดับไฟของแต่ละรุ่น
อ้างอิงจากมาตรฐาน มอก.322-2537 ระบุไว้ว่า
A คือประสิทธิภาพในการดับไฟที่เชื้อเพลิงเป็นของแข็ง (Class A) เช่น ไม้ กระดาษ ขนสัตว์ พลาสติก เป็นต้น
B คือประสิทธิภาพในการดับไฟที่เชื้อเพลิงเป็นของเหลว (Class B) เช่น น้ำมัน ทินเนอร์ ก๊าซ เป็นต้น
เอ.... แล้วตัวเลข 1A 2A 3A 4A... / 1B 2B 3B 4B... เยอะแยะมากมายนี่มาจากไหนกัน?
ภาพตารางด้านล่างเป็นขนาดเชื้อเพลิงมาตรฐานที่ทางสำนักงานมาตรฐานอุตสาหกรรมกำหนด สำหรับวัดประสิทธิภาพการดับไฟ Class A
และตารางนี้ เป็นขนาดเชื้อเพลิงมาตรฐานที่ใช้ในการทดสอบสำหรับเชื้อเพลิง Class B
ค่า Fire Rating ที่สูงที่สุดที่สามารถผ่านการทดสอบได้คือที่ระดับ 10A-40B ของขนาดถังดับเพลิงขนาด 15 และ 20ปอนด์ และ 6A-20B ขนาด 10ปอนด์ครับ
สรุปได้ง่ายๆก็คือ
ยิ่งค่า A หรือ B มากเท่าไหร่ กองไฟที่เครื่องดับเพลิงสามารถดับลงได้ก็จะใหญ่มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นประสิทธิภาพในการดับไฟยิ่งสูงตามครับ
จะเห็นได้ว่าขนาดกองเพลิงนั้นต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งในปัจจุบัน ค่า Fire Rating ที่สูงที่สุดที่สามารถผ่านการทดสอบได้คือที่ระดับ 10A-40B ของขนาดถังดับเพลิงขนาด 15และ20ปอนด์ และ 6A-20B ขนาด 10ปอนด์ครับ
ถาม-ตอบปัญหาที่ได้รับการสอบถามเข้ามาบ่อย
Q : ทำไมเครื่องดับเพลิงขนาดเดียวกันต้องมีหลาย Fire Rating และหลายราคา เช่น 2A-2B และ 6A-20B?
A : เนื่องจากแต่ละสภาพแวดล้อมมีการประเมินความเสี่ยงไม่เท่ากัน บางพื้นที่ที่มีความเสี่ยงและมีเชื้อเพลิงมาก ก็จะใช้เครื่องดับเพลิงที่มี Fire Rating สูง บางพื้นที่มีความเสี่ยงต่ำก็สามารถใช้เครื่องดับเพลิงที่มี Fire Rating น้อยกว่าซึงราคาถูกกว่าได้ครับ ในส่วนราคาขึ้นอยู่กับความเข้มข้นของเคมีที่บรรจุเคมีของ 6A-20B จะมีความเข้มข้นสูงกว่าแบบ 2A-2Bครับ
Q : ทำไมเครื่องดับเพลิงขนาดเล็กเช่น 2หรือ5ปอนด์ มีFire Rating สูงสุดที่ 3A-5B ทั้งๆที่ความเข้มข้นเคมีเท่ากับ 10ปอนด์ 6A-20B?
A : เนื่องจากการทดสอบวัดจากปริมาณกองเพลิงเป็นหลัก ไม่ใช่ความเข้มข้นเคมี เครื่องดับเพลิงขนาดเล็กจึงไม่สามารถควบคุมกองเพลิงที่มีขนาดใหญ่ได้เนื่องจากมีปริมาณน้อยเกินไป
Q : แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเคมีข้างในที่บรรจุเป็นเคมีตรงตาม Fire Rating ที่ระบุไว้บนฉลาก?
A : โดยการเลือกซื้อเครื่องดับเพลิงจากผู้ผลิตที่ได้รับมาตรฐานระดับสากล เช่น มาตรฐาน มอก.322-2537 (มาตรฐานมอก.ของประเทศไทยมีกระบวนการตรวจสอบที่มีคุณภาพ โดยสินค้าจากทางโรงงานได้รับการยอมรับและได้ส่งออกไปยังมาเก๊าและกัมพูชา) และ มาตรฐาน ISO9001:2015 ครับ
Q : ทำไมบนฉลากจึงไม่มีระบุ Fire Rating ของ Class C ไว้ด้วย ทั้งๆที่ระบุว่าสามารถใช้กับ Class C ได้?
A : Class C คือไฟที่เกิดจากความร้อนของกระแสไฟฟ้า(ไฟฟ้าลัดวงจร, กระแสเกินขนาด) ปัจจุบันยังไม่มีมาตรฐานในการบ่งชี้ความสามารถแบบเฉพาะเจาะจง ทั้งนี้ทั้งนั้นเชื้อเพลิงที่เกิดจาก Class Cโดยส่วนมากแล้วจะเป็นประเภทของแข็ง(พลาสติกจากอุปกรณ์ไฟฟ้า, ยาง, สายไฟ) ซึ่งก็คือเชื้อเพลิงที่เป็นกลุ่ม Class A เพราะฉะนั้นโดยหลักแล้วถังดับเพลิงที่ใช้กับ Class C คือถังดับเพลิงที่บรรจุสารเคมีที่ไม่นำไฟฟ้านั่นเอง :) >>ข้อควรระวัง!! ในการดับไฟ Class C จำเป็นที่จะต้องตัดวงจรไฟฟ้าก่อน แล้วค่อยดับกองไฟ เนื่องจากกองเพลิงเกิดจากความร้อนของกระแสไฟฟ้า หากไม่ตัดกระแสไฟ จะทำให้ไฟสามารถติดขึ้นมาใหม่ได้เมื่อดับลงเนื่องจากกระแสไฟฟ้ายังคงวิ่งผ่านและทำให้เกิดความร้อนอยู่ และอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้กับผู้ผจญเพลิง (อันนี้อยากให้ระวังมากๆกับถังดับเพลิงประเภทที่มีส่วนผสมของน้ำ เช่น Foam และ Water Mist เพราะกระแสไฟสามารถวิ่งกลับมายังผู้ฉีดใช้งานได้)
(แถม)
Q : แล้วทำไมเครื่องดับเพลิงประเภท Co2 จึงระบุไว้ว่าสามารถดับ Class B และ Class C แค่2ชนิดโดยที่ไม่ระบุ Class A ในเมื่อเชื้อเพลิงClass C จริงๆแล้วก็คือของแข็ง?
A : เครื่องดับเพลิงชนิด Co2 สามารถดับเพลิง Class A ได้ครับ แต่ไม่สามารถระบุได้เนื่องจากเชื้อเพลิง Class A นั้นมีไม้และกระดาษรวมอยู่ด้วย ซึ่งไม้เมื่อโดนเผาไฟแล้วจะกลายสภาพเป็นถ่าน เมื่อโดนลม(Oxygen)แล้วไฟสามารถกลับมาติดได้อีกครั้ง หากเป็นผงเคมีแห้งเมื่อฉีดแล้ว ผงเคมีจะลงปกคลุมที่เชื้อเพลิงทำให้ไฟไม่สามารถติดขึ้นมาใหม่ได้